1. การขัดจังหวะ หรือการอินเตอร์รัปต์ ทางเข้าโปรแกรมย่อยที่ BIOS หรือ DOS มีไว้บริการ เป็นการเข้าไปขัดจังหวะ เพื่อขอกระทำการบางอย่าง เช่น ขอพิมพ์
ขออ่านข้อมูลบางอย่าง เป็นต้น ผู้รู้บางท่านกล่าวว่า interrupt เหมือน call function ในภาษาคอมพิวเตอร์
คือ เข้าไปเรียกโปรแกรมบางอย่างมาทำงานจนเสร็จ แล้วย้อนกลับมาทำบรรทัดต่อไป
อินเทอร์รัพท์ เป็นกระบวนการในการส่งสัญญาณบอกให้ซีพียูรับรู้แล้วหยุดงานที่ทำอยู่
และหันมาตอบสนองต่ออินเทอร์รัพ ที่ร้องขอ เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด
ในการติดต่อระหว่างอุปกรณ์และซีพียู มีลักษณะคล้ายการเรียกใช้ subroutine
2. จงเปรียบเทียบการอินเตอร์รัปต์
กับการดำเนินชีวิตของมนุษย์โดยทั่วไป ว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่สามารถทํางานได้รวดเร็วมากกว่ามนุษย์นัก
จึงสามารถทํางานพร้อมกันได้หลายๆ อย่างทั้งที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
และที่มองไม่เห็นดังนั้นหากไม่มีการจัดการกาอินเตอร์รัพท์ให้ดีแล้ว
ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ก็ย่อมที่จะลดลงกว่าที่ควร
จะเป็นหรืออาจก่อให้เกิดผลเสียต่างได้ ซึ่งถึงแม้บางอย่างอาจจะไม่มากจนเราสังเกตเห็นได้
แต่เพียงเล็กน้อยหากสะสมไปเรื่อยๆ ก็ย่อมจะกลายเป็นมากได้เช่นกัน
3. สาเหตุที่การป้องฮาร์ดแวร์
มีบทบาทสำคัญต่อระบบปฏิบัติการที่รองรับหลายๆ
งานข้อผิดพลาดหลายอย่างมักจะตรวจสอบได้โดยฮาร์ดแวร์ ซึ่งสามารถควบคุมได้โดยระบบปฏิบัติการ
ซึ่งจะทำการจัดการข้อผิดพลาดการป้องกันข้อผิดพลาดของอุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูล (I/O Protection) เพื่อป้องกันการเรียกใช้อุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลแบบผิด ๆ
หรืออ้างอิงตำแหน่งในหน่วยความจำที่อยู่ในส่วนของระบบปฏิบัติการ หรือไม่คืน
การควบคุมซีพียูให้ระบบซึ่งมีการกำหนดว่าคำสั่งเรียกใช้อุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลเป็นคำสั่งสงวน
(Privileged Instruction) ผู้ใช้ไม่สาม รถเรียกใช้อุปกรณ์เองได้ ต้องให้ระบบปฏิบัติการเป็นผู้จัดการให้
การป้องกันข้อผิดพลาด
เนื่องจาการเข้าถึงข้อมูลผิดตำแหน่งการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลผิดตำแหน่ง มีความสำคัญโดยเฉพาะ
ถ้าตำแหน่งที่ถูกอ้างถึงอย่างผิด ๆ เป็นตำแหน่งของโปรแกรมสำหรับสัญญาณ (Interrupt
ServiceRoutine) อาจทำให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงโปรแกรมได้
ซึ่งก่อให้เกิดความผิดพลาดตามมาหรือแม้กระทั่งเป็นโปรแกรมธรรมดาก็ตาม
ถ้าถูกอ้างถึงอย่างผิด ๆ จะทำให้โปรแกรมนั้นเกิดข้อผิดพลาดตามไปด้วย การป้องกันข้อผิดพลาดของหน่วยประมวลผลกลางในกรณีที่เกิดการทำงานของโปรแกรมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
(Infinite Looop) ทำให้มีโปรแกรมอยู่โปรแกรมเดียวที่ใช้หน่วยประมวลผลกลาง
โปรแกรมอื่นต้องรอคอยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด (Starvation) เช่น ในกรณีที่ผุ้ใช้ใช้โปรแกรมสร้างงานนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น
งานอื่น ๆ จึงต้องรอให้หน่วยประมวลผลกลางทำงานนั้น ๆ ให้เสร็จเสียก่อน
ประสิทธิภาพของระบบจึงลดลง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
4. จงเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโหมดการทำงานของผู้ใช้
กับโหมดการทำงานของระบบมาให้พอเข้าใจ
ผู้ใช้ คือ บุคคลที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับระบบ เพื่อทำให้เกิดการดำเนินการ หรือเพื่อใช้การทำงานให้เป็นประโยชน์ ส่วนการทำงานของระบบระบบ หมายถึง
การทำงานร่วมกันของส่วนประกอบแต่ละส่วนอย่างมีความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้วางไว้
5. ระบบปฏิบัติการจะมีการป้องกันอินพุต
สำหรับระบบอินพุต/เอาต์พุต( I/O ) ของ Linux มีความใกล้เคียงกับระบบอินพุต/เอาต์พุตใน UNIX เป็นอย่างมากนั่นคือดีไวซ์ไดร์เวอร์ทั้งหมดปรากฏตัวเป็นไฟล์ธรรมดา
ผู้ใช้สามารถแอ็กเซสดีไวซ์ได้เหมือนกับการเปิดไฟล์โดยดีไวซ์เป็นเสมือนออปเจ็กต์ในระบบไฟล์
ผู้บริหารระบบสามารถสร้างไฟล์พิเศษภายในระบบไฟล์ที่ประกอบด้วยการอ้างถึงดีไวซ์ไดร์เวอร์ที่ให้ผู้ใช้สามารถเปิดไฟล์เพื่ออ่าน
หรือเขียนลงดีไวซ์ที่อ้างอิงนี้ได้
ผู้บริหารระบบยังสามารถกำหนดสิทธิการเข้าถึงดีไวซ์โดยอาศัยหลักการเข้าถึงไฟล์ที่มีการป้องกันโดยพิจารณาบุคคลที่สามารถใช้งานได้
Linux แบ่งดีไวซ์เป็น 3 กลุ่ม
บล็อกดีไวซ์( Bloch Device ) คาแรกเตอร์ดีไวซ์ ( CharacterDevice) และเน็ตเวิร์คดีไวซ์( Network Devices) รูป 14.4 แสดงสถาปัตยากรรมของดีไวซ์ โดยบล็อกดีไวซ์( Block Devices
) จะรวมถึงทุกดีไวซ์ที่แอกแซสแบบสุ่ม บล็อกข้อมูลมีขนาดคงที่
ทั้งฮาดดิสก์ ฟล็อปปีดิสก์ และซีดีรอม ปกติบล็อกดีไวซ์ จะใช้ในการเก็บระบบไฟล์
แต่ก็ยอมระบให้มีการแอ็กแซสโดยตรงกับบล็อกดีไวซ์
ดังนันโปรแกรมจึงสามารถสร้างและซ่อมแซมระบบไฟล์ที่มีดีไวซ์เป็นส่วนประกอบได้
ส่วนแอปพิเคชันก็สามารถแอ็กแซสบล็อกดีไวซ์โดยตรงเช่นกัน สำหรับคาแรกเตอร์ดีไวซ์ (Charcter
Device ) เป็นดีไวซ์ส่วนมใหญ่ที่ไม่รวมเน็ตเวิร์คดีไวซ์ ( Network
)ดีไวซ์ประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องสนับสนุนไฟล์ธรรมดา เช่น
ดีไวซ์ที่เป็นลำโพงที่ยอมให้เขียนข้อมูลบนดีไวซ์แต่อ่านจากดีไวซ์ไม่ได้
แช่นเดียวกับการค้นหาตำแหน่งที่แน่นอนในไฟล์ที่สนับสนุนในเทปแม่เหล็ก
สำหรับเน็ตเวิร์คดีไวซ์ ( Network Device ) จะมีความแตกต่างจากบล็อกดีไวซ์
และคาแร็กเตอร์ดีไวซ์ ผู้ใช้ไม่สามารถถ่ายโอนข้อมูลโดยตรงกับเน็ตเวิร์คดีไวซ์
แต่ติดต่อทางอ้อมกับระบบย่อยด้านเน็ตเวิร์คของ Kernel
6. ระบบปฏิบัติการจะมีการป้องกันหน่วยความจำ
1. การย้ายตำแหน่ง (Relocation) ระบบปฏิบัติการในปัจจุบัน
ยอมให้โปรแกรมทำงานพร้อมกันได้หลายงานแบบ multiprogramming ซึ่งโปรเซสต่าง ๆ เข้าใช้งานหน่วยความจำร่วมกัน
จึงต้องมีการสลับโปรแกรมให้เข้าออกหน่วยความจำได้
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงค่าตำแหน่งในหน่วยความจำที่อ้างถึงในโปรแกรม
ให้ถูกต้องตามตำแหน่งจริงในหน่วยความจำ เช่นโปรแกรม a อ้างถึงตำแหน่งที่ 1000 และโปรแกรม b ก็อ้างถึงตำแหน่งที่ 1000 เช่นกัน
2. การป้องกันพื้นที่ (Protection) ระบบปฏิบัติการควรสามารถป้องกันโปรเซส
จากการถูกรบกวน ทั้งทางตรง และทางอ้อม
ดังนั้นก่อนให้โปรเซสใดเข้าครอบครองหน่วยความจำ จะต้องมีการตรวจสอบก่อน และใช้เวลาค้นหาเพื่อตรวจสอบตลอดเวลา
3. การใช้พื้นที่ร่วมกัน (Sharing) การป้องกันเพียงอย่างเดียว
อาจทำให้การใช้ทรัพยากรไม่คุ้ม
จึงต้องมีการจัดสรรให้ใช้พื้นที่ของหน่วยความจำร่วมกันอย่างยืดหยุ่น
4. การจัดการแบ่งโปรแกรมย่อย (Logical organization)
7. ระบบปฏิบัติการจะมีการป้องกันซีพียูอย่างไร จงอธิบาย
ซีพียู (cpu Scheduling) เป็นหลักการทำงานหนึ่งของระบบปฏิบัติการที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการรันโปรแกรมหลายๆ
โปรแกรมในเวลาเดียวกัน
ซึ่งการแบ่งเวลาการเข้าใช้ซีพียูให้กับโปรเซสที่อาจถูกส่งมาหลายๆ โปรเซสพร้อมๆกัน ในขณะที่ซีพียูอาจมีจำนวนน้อยกว่าโปรเซส หรืออาจมีซีพียูเพียงตัวเดียว
จะทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ปริมาณงานที่มากขึ้นกว่าการที่ให้ซีพียูทำงานให้เสร็จทีละโปรเซส
ในบทนี้ เราจะมาพูดถึงอัลกอริทึมพื้นฐานของการจัดเวลาซีพียูนี้ โดยจะพูดถึงวิธีการหลักๆ
ที่แต่ละอัลกอริทึมมีแตกต่างกัน ข้อดีข้อเสีย และความเหมาะสมต่อระบบงานแบบต่างๆ
เพื่อการเลือกใช้อย่างถูกต้อง
8. โครงสร้างของระบบปฏิบัติการประกอบด้วยกี่ส่วน อะไรบ้าง
ระดับชั้นแรกสุด เป็นระดับชั้นที่ต่ำที่สุดมีชื่อเรียกว่า เคอร์เนล (kernel) เป็นชั้นที่มีหน้าที่รับผิดชอบงานต่าง ๆ
ของโปรเซสของระบบปฏิบัติการเท่านั้น
ชั้นที่ 2 ผู้จัดการหน่วยความจำ (memory
manager) มีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับหน่วยความจำของระบบ เช่น
การทำหน่วยความจำเหมือนระบบหน้า เป็นต้น เนื่องจากการจัดการหน่วยความจำบางส่วนต้องยุ่งเกี่ยวกับโครงสร้างทางฮาร์ดแวร์ของเครื่อง
ดังนั้น
ในส่วนของผู้จัดการหน่วยความจำจึงมีลักษณะขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์ด้วยเช่นเดียวกัน
บางครั้งการทำงานในชั้นนี้ก็อาศัยรูทีนบางอย่างของเคอร์เนลด้วย
ชั้นที่ 3 ระบบ ควบคุมอินพุต-เอาต์พุต (input-output
control system) หรือ IOCS จะมีหน้าที่จัดการงานทางด้านอินพุตเอาพุตของระบบ
ในชั้นนี้ยังคงมีลักษณะขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์อยู่บ้าง
เพราะการติดต่อกับอุปกรณ์อินพุต-เอาต์พุตต้องทราบโครงสร้างและการทำงานของอุปกรณ์นั้นๆด้วย
ซึ่งส่วนนี้เป็นหน้าที่ของตัวขับอุปกรณ์ (device driver) นอกจากนี้ IOCS ยังต้องอาศัยรูทีนบางอย่างทั้งจากเคอร์เนล
และผู้จัดการหน่วยความจำในการทำงานของมันอีกด้วย ตัวอย่างเช่น
เคอร์เนลจัดหารูทีนที่เหมาะสมกับการเกิดอินเตอร์รัพต์จากอุปกรณ์อินพุต-เอาต์พุต
ให้IOCS ทำงานหรือ IOCS เรียกใช้รูทีนผู้จัดการหน่วยความจำให้ช่วยหาเนื้อที่ในหน่วยความจำเพื่อใช้ทำบัฟเฟอร์ของอุปกรณ์ต่างๆ
ชั้นที่ 4 ผู้จัดการไฟล์ (file
manager) มีหน้าที่จัดการงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับไฟล์ เช่น
การเก็บไฟล์ลงดิสก์ การหาไฟล์ การอ่านข้องมูลของไฟล์ เป็นต้น ผู้จัดการไฟล์นี้สามารถถูกออกแบบให้ไม่ขึ้นกับฮาร์ดแวร์
(hardware independent) ผู้จัดการไฟล์จะจะติดต่อกับฮาร์ดแวร์โดยเรียกผ่านรูทีนต่างๆของ
เคอร์เนล ผู้จัดการหน่วยความจำและ IOCS รูปที่ 8.6 แสดงระดับชั้นของระบบปฏิบัติการเมื่อเพิ่มระดับชั้นของ
ผู้จัดการไฟล์เข้าไป
ชั้นที่ 5 ตัวคิวระยะสั้น (short-term scheduler) เป็นระดับชั้นแรกที่มีลักษณะไม่ขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์โดยสมบูรณ์
มีหน้าที่จัดคิวของโปรเซสในสถานะพร้อม (ready state) เมื่อใดที่ส่วนนี้ทำงานมันจะคัดเลือกเอาโปรซสที่เหมาะที่สุดในคิวของสถานะพร้อม
เพื่อให้โปรเซสนั้นเข้าไปครอบครองซีพียูที่ว่างอยู่
โดยเรียกใช้ตัวส่งในส่วนของเคอร์เนล รูปที่ 8.7 แสดงระดับชั้นของตัวจัดคิดระยะสั้น
ชั้นที่ 6 ผู้จัดการทรัพยากร (resource
manager) เป็นระดับชั้นของส่วนที่หน้าที่จัดสรรหาทรัพยากรอื่นๆในระบบ
ดังแสดงในรูปที่ 8.8 บางครั้งตัวจัดคิวระยะสั้นและผู้จัดการทรัพยากรอยู่สลับที่กัน (ดังแสดงในรูปที่8.9 ) ทั้งนี้เพราะหลังจากที่ตัวจัดคิวระยะสั้นส่งโปรเซสเข้าไปในสถานะรันแล้ว
โปรเซสนั้นอาจต้องการทรัพยากรอื่นๆ ในระบบ
ดังนั้นจึงต้องเรียกใช้รูทีนในชั้นผู้จัดการทรัพยากร
ชั้นที่ 7 ตัวจัดคิวระยะยาว (long-term
scheduler) เป็นชั้นของระบบปฏิบัติที่เริ่มมีความใกล้ชิดกับผู้ใช้และห่างไกลกับฮาร์ดแวร์ของเครื่องมากขึ้น
มีหน้าที่จัดการและควบคุมโปรเซสต่างๆ ทั้งหมดในระบบเช่นสร้างโปรเซสต่าง ๆ
ใหม่เข้ามาในระบบและยุติโปรเซสเมื่อโปรเซสทำงานเสร็จสิ้นลง การทำงานของตัวจัดคิวระยะยาวต้องใช้รูทีนต่างๆ
ในชั้นที่ 1 ถึง 6 ช่วยในการทำงาน (รูปที่ 8.10 แสดงตำแหน่งของตัวจัดคิวระยะยาว)
ชั้นที่ 8 เชลล์ (shell) หรือผู้แปลคำสั่ง (command
interpreter) เป็นชั้นสุดท้ายซึ่งเป็นชั้นที่ใกล้ชิดกับผู้ใช้มากที่สุด
มีหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้โดยตรง เช่น ส่งเครื่องหมายพร้อมต์ (prompt) แสดงออกทางจอภาพ รับคำสั่งต่างๆ
ของผู้ใช้มาตีความคำสั่งและเรียกรูทีนต่างๆของชั้นล่างๆ
เพื่อให้ได้งานตามคำสั่งที่ได้รับ
9. ในการจัดการกับโปรเซส
ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
ระบบปฏิบัติการบางระบบ เช่น
ระบบปฏิบัติการดอสหรือเอ็มเอสดอล (MS-DOS)มีการจัดการโปรเซสที่ค่อนข้างง่าย
เนื่องจากจัดการโปรเซสแบบผู้ใช้คนเดียว (Sing User)ทำให้การใช้งานซีพียูอาจไม่ได้รับความคุ้มค่านัก
แต่ก็เป็นระบบปฏิบัติการที่ออกแบบง่ายเพราะไม่ค่อยมีความสลับซับซ้อน อีกทั้งยังใช้ทรัพยากรค่อนข้างน้อยแต่ในระบบปฏิบัติการที่ออกแบบมาใช้งานกับระบบใหญ่
ๆ นั้นจะถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานหลายๆ คน ( Multiuser) ซึ่งอาจมีซีพียูหนึ่งตัวหรือมากกว่า (Multiprocessor) ก็เป็นได้ ดังนั้นระบบปฏิบัติการที่ใช้กับระบบคอมพิงเตอร์ดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับการออกแบบที่ดี และที่สำคัญย่อมมีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นด้วยสำหรับระบบคอมพิวเตอร์ที่ส่วนใหญ่มักมีเพียงซีพียูเดียว และใช้ระบบปฏิบัติการที่รองรับการใช้งานหลายๆโปรแกรมนั้น ในความเป็นจริง ซีพียูจะทำงานได้ทีละงานเท่านั้นซึ่งเป็นลักษณะแบบ Sequential
Execution ดังที่นอยมานน์ได้กล่าวไว้ แต่เนื่องด้วยการทำงานของซีพียูมีความรวดเร็วมาก เกิดสายตามนุษย์ที่จะจับผิดว่าซีพียูทำงานที่ละงานอยู่ ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าซีพียูสามารถทำงานได้หลายๆ งานในขณะเดียวกัน
งานที่ส่งไปประมวลผลในซีพียู จะเรียกว่าโปรเซส โดยโปรเซสคือโปรแกรมที่กำลังถูกประมวลหรือถูกเอ็กซคิวต์ หรือ
อาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า โปรแกรมนั้นทำการครอบครองซีพียูในขณะนั้นอยู่ ซึ่งกระบวนการดังกล่าว ซีพียูก็ต้องมีการบวนการจัดการโปรเซสที่ครอบครองรวมถึงการจัดการกับโปรเซสอื่น
ๆ ที่ต้องการขอใช้บริการซีพียู
10. ในการจัดการกับหน่วยความจำ
ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
การจัดสรรหน่วยความจำ
การจัดการอุปกรณ์
การจัดการข้อมูล
11. ในการจัดการกับแฟ้มข้อมูล
ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
การสร้างแฟ้มข้อมูล (file creating) คือ
การสร้างแฟ้มข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการประมวลผล ส่วนใหญ่จะสร้างจากเอกสารเบื้องต้น (source
document) การสร้างแฟ้มข้อมูลจะต้องเริ่มจากการพิจารณากำหนดสื่อข้อมูลการออกแบบฟอร์มของระเบียน
การกำหนดโครงสร้างการจัดเก็บแฟ้มข้อมูล (file organization) บนสื่ออุปกรณ์
การปรับปรุงรักษาแฟ้มข้อมูลแบ่งออกได้ 2 ประเภท
คือ
1) การค้นคืนระเบียนในแฟ้มข้อมูล (retrieving) คือ
การค้นหาข้อมูลที่ต้องการหรือเลือกข้อมูลบางระเบียนมาใช้เพื่องานใดงานหนึ่ง
การค้นหาระเบียนจะทำได้ ด้วยการเลือกคีย์ฟิลด์
เป็นตัวกำหนดเพื่อที่จะนำไปค้นหาระเบียนที่ต้องการในแฟ้มข้อมูล
ซึ่งอาจจะมีการกำหนเงื่อนไขของการค้นหา เช่น ต้องการหาว่า พนักงานที่ชื่อสมชายมีอยู่กี่คน
2) การปรับเปลี่ยนข้อมูล (updating) เมื่อมีแฟ้มข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการประมวลผลก็จำเป็นที่จะต้องทำหรือรักษาแฟ้มข้อมูลนั้นให้ทันสมัยอยู่เสมอ
อาจจะต้องมีการเพิ่มบางระเบียนเข้าไป (adding) แก้ไขเปลี่ยนแปลงค่าฟิลด์ใดฟิลด์หนึ่ง
(changing) หรือลบบางระเบียนออกไป (deleting)
12. ในการจัดการกับอุปกรณ์อินพุต/เอาต์พุต
ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
ติดตามสถานะของอุปกรณ์ทุกชิ้น
กำหนดอุปกรณ์ให้ใช้งาน
การยกให้ (Dedicated Device)
การแบ่งปัน (Shared Device)
การจำลอง (Virtual Device)
การจัดสรรอุปกรณ์ (Allocate)
การเรียกคืน (Deallocate)
13. ในการจัดการกับหน่วยความจำสำรอง เช่น ดิสก์
ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=ระบบปฏิบัติการทำหน้าที่โอนถ่ายข้อมูลไปจัดเก็บในอุปกรณ์บันทึกข้อมูล
14. จงสรุปงานบริการของระบบปฏิบัติการมาพอเข้าใจ
=ระบบปฏิบัติการจะเป็นเหมือนตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับผู้ใช้งาน
จะรับข้อมูลทางเมาส์หรือคีย์บอร์ด จากนั้นจะส่งไปยัง CPU เพื่อให้ประมวลผลออกมา แสดงผลจะอยู่ในรูปของเสียงหรือภาพ
15 ในการติดต่อระหว่างโปรเซสกับระบบปฏิบัติการ
=สถานะของโปรเซส (Process Status) ก็จะมี สถานะเริ่มต้น (New Status) ,สถานะพร้อม (Ready
Status),สถานะรัน (Running Status),สถานะรอ (Wait Status),สถานะบล็อก
(Block Status)และสถานะสิ้นสุด (Terminate Status)